แชร์

แสง UV ในเครื่องดูดไรฝุ่น ฆ่าไรฝุ่นกับเชื้อโรคได้จริงเหรอ หรือแค่กิมมิค

อัพเดทล่าสุด: 23 พ.ค. 2025
4 ผู้เข้าชม

"เครื่องดูดไรฝุ่นรุ่นใหม่ๆ ทำไมต้องมีไฟสีม่วงๆ ฟ้าๆ (แสง UV) ติดมาด้วยตลอดเลยอ่ะ?" "แล้วไอ้แสงนี่มันช่วยฆ่าไรฝุ่น ฆ่าเชื้อโรคได้จริงเหมือนที่เค้าโฆษณาหรือเปล่า? หรือแค่มีไว้ให้ดูเท่ๆ?" เชื่อว่าเพื่อนๆ ที่กำลังเล็งจะซื้อเครื่องดูดไรฝุ่น หรือเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ ต้องมีคำถามนี้ผุดขึ้นในใจแน่ๆ!

ก็แหม...ใครๆ ก็อยากให้ที่นอน โซฟา หมอน ของเราสะอาด ปลอดภัยจากเจ้าตัวไรฝุ่นตัวร้ายกับเชื้อโรคที่มองไม่เห็นใช่ไหมล่ะ? ในฐานะ คนที่ชอบลองของใหม่ และอยากรู้จริงว่าอะไรมันเวิร์คไม่เวิร์ค  วันนี้เราจะมา "ส่อง" แสง UV ในเครื่องดูดไรฝุ่นกันแบบทะลุปรุโปร่ง! ว่ามันทำงานยังไง? ฆ่าได้จริงไหม? แล้วมันคุ้มค่าที่จะจ่ายเพิ่มหรือเปล่า? ด้วยข้อมูลที่ อิงหลักการวิทยาศาสตร์นิดๆ แต่เล่าแบบเพื่อนเม้าท์ให้ฟัง ไปลุยกันเลย!

"แสง UV" ที่ว่าเนี่ย...มันคืออะไรกันนะ?

แสง UV หรือ แสงอัลตราไวโอเลต ที่ใช้ในเครื่องดูดไรฝุ่นส่วนใหญ่มักจะเป็น "UV-C" ครับ

UV-C คืออะไร?: มันคือคลื่นแสงชนิดหนึ่งที่มีพลังงานสูงมาก สามารถ "ทำลาย DNA และ RNA" ของเชื้อโรคขนาดเล็กได้ เช่น แบคทีเรีย, ไวรัส, เชื้อรา, และรวมถึงตัวไรฝุ่นกับไข่ของมันด้วย!
เหมือน "แดดสังเคราะห์" พลังทำลายล้างสูง: คล้ายๆ กับแสงแดดที่เราเอาของไปตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อนั่นแหละครับ แต่ UV-C ในหลอดไฟมันจะเข้มข้นและเฉพาะเจาะจงกว่าเยอะ

แล้วแสง UV-C ในเครื่องดูดไรฝุ่น มัน "ฆ่า" ไรฝุ่นกับเชื้อโรคได้ "จริง" ไหม?

คำตอบคือ: "จริง...แต่มีเงื่อนไข!"

ฆ่าได้จริง (ถ้าโดนจังๆ นานพอ): จากงานวิจัยและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์  แสง UV-C สามารถฆ่าเชื้อโรคและทำลายไรฝุ่นได้จริงๆ ครับ มันจะเข้าไปป่วนระบบสืบพันธุ์ของไรฝุ่น ทำให้มันเป็นหมัน หรือถ้าโดนแสงนานพอ ตัวมันเองหรือไข่ก็อาจจะตายได้

แต่! "เงื่อนไข" มันอยู่ตรงนี้แหละเพื่อน:
ระยะห่างต้อง "ใกล้ชิด": แสง UV-C จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อหลอดไฟอยู่ "ใกล้" กับพื้นผิวที่เราจะฆ่าเชื้อมากๆ ถ้าอยู่ห่างไป พลังมันก็ลดลงเยอะ

"เวลา" ในการฉายแสงต้อง "นานพอ": ไม่ใช่แค่เอาไฟ UV-C ไปปาดผ่านๆ แล้วเชื้อโรคจะตายเรียบนะครับ! มันต้องใช้เวลาให้แสงได้ทำงาน อย่างน้อยๆ ก็หลายวินาที หรือเป็นนาที สำหรับเชื้อบางชนิดหรือตัวไรฝุ่นที่อึดๆ

ต้องโดนแสง "โดยตรง": แสง UV-C มัน ไม่สามารถทะลุทะลวง เข้าไปในที่ที่แสงส่องไม่ถึงได้นะครับ ถ้าไรฝุ่นหรือเชื้อโรคมันแอบอยู่ใต้ผ้าหนาๆ หรือในซอกหลืบที่แสง UV ไปไม่ถึง มันก็รอด!

ฝุ่นผงบังแสง: ถ้าบนที่นอนมีฝุ่นผงเยอะๆ มันก็อาจจะบังแสง UV ไม่ให้ไปโดนตัวไรฝุ่นหรือเชื้อโรคที่อยู่ข้างใต้ได้

แล้วกับ "เครื่องดูดไรฝุ่น" มันเวิร์คแค่ไหนล่ะ?

พอมาอยู่ในเครื่องดูดไรฝุ่น ที่เราต้อง "ไถ" เครื่องไปมาบนที่นอนหรือโซฟา ประสิทธิภาพของแสง UV-C มันก็จะเป็นแบบนี้ครับ:

ช่วย "ลด" ปริมาณเชื้อโรคและไรฝุ่นบน "พื้นผิว" ได้: อันนี้พอหวังผลได้ครับ เพราะตอนเราดูด แสง UV-C มันก็จะส่องไปบนผิวที่นอน/โซฟาที่เรากำลังดูดอยู่พอดี

อาจจะไม่ได้ "ฆ่าเรียบ" ทุกตัวที่อยู่ "ลึกลงไป": อย่างที่บอก ถ้าไรฝุ่นมันมุดอยู่ใต้ใยผ้าลึกๆ แสง UV-C ก็อาจจะส่องไปไม่ถึง

"ความเร็ว" ในการดูดก็มีผล: ถ้าเราไถเครื่องเร็วปื๊ดๆ แสง UV-C ก็อาจจะสัมผัสกับพื้นผิวแป๊บเดียว เวลาอาจจะไม่นานพอที่จะฆ่าเชื้อทุกตัวได้

สรุปง่ายๆ คือ: แสง UV-C ในเครื่องดูดไรฝุ่น "มีประโยชน์" ในการช่วยลดเชื้อโรคและไรฝุ่นบน "พื้นผิว" ได้จริง แต่ "อย่าคาดหวัง" ว่ามันจะฆ่าได้หมดจดทุกซอกทุกมุม หรือทะลุลงไปถึงแกนกลางของที่นอนหนาๆ นะครับ!

แล้ว "หัวใจสำคัญ" ของเครื่องดูดไรฝุ่นจริงๆ คืออะไรล่ะ?

แสง UV มันเป็น "ตัวเสริม" ที่ดีครับ แต่พระเอกตัวจริงของเครื่องดูดไรฝุ่นที่ช่วย "กำจัด" ไรฝุ่นและ "มูล" ของมัน (ตัวการภูมิแพ้) ออกไปได้จริงๆ คือ:

1.พลังดูด: ต้องแรงพอที่จะดูดไรฝุ่นและมูลเล็กๆ ที่เกาะอยู่ตามใยผ้าออกมาได้

2.ระบบตบ/สั่นสะเทือน: (อันนี้สำคัญมาก!) มันจะช่วย "ตบ" หรือ "เขย่า" ให้ไรฝุ่นและสิ่งสกปรกที่ฝังอยู่ลึกๆ มัน "หลุด" ออกมาจากใยผ้า แล้วเครื่องถึงจะดูดเข้าไปได้ง่ายขึ้น

3.แผ่นกรอง HEPA (HEPA Filter): (ขาดไม่ได้!) ช่วยดักจับอนุภาคเล็กจิ๋ว รวมถึงมูลไรฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ ไม่ให้มันฟุ้งกระจายกลับออกมาในอากาศตอนเราดูดฝุ่นอีกรอบ!

"แสง UV" จำเป็นไหม? หรือแค่ "กิมมิค" การตลาด? ถ้ามองว่าเป็น "ตัวช่วยเสริม" เรื่องสุขอนามัย: ก็ถือว่า "มีก็ดีกว่าไม่มี" ครับ อย่างน้อยมันก็ช่วยลดเชื้อโรคบนพื้นผิวได้บ้าง ทำให้เรารู้สึกสะอาดและปลอดภัยขึ้น

ถ้าคาดหวังว่ามันจะ "ฆ่าไรฝุ่นได้หมดจดทั้งที่นอน": อันนี้อาจจะ "เกินจริง" ไปหน่อยครับ อย่าลืมว่าพลังดูดและระบบตบฝุ่นคือพระเอกตัวจริงในการ "กำจัด" ไรฝุ่นออกไป
มัน "ไม่ใช่" กิมมิคซะทีเดียว: เพราะแสง UV-C มันมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อได้จริงๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ประสิทธิภาพในเครื่องดูดไรฝุ่นมันมี "ข้อจำกัด" อย่างที่บอกไปครับ (เลือกเครื่องดูดไรฝุ่นทั้งที...ดูอะไรบ้างดี?

ถ้าจะซื้อเครื่องดูดไรฝุ่น (ไม่ว่าจะมี UV หรือไม่มี) ให้เน้นดูที่:

พลังดูด + ระบบตบ/สั่น: สองอย่างนี้สำคัญสุด!
แผ่นกรอง HEPA: ต้องมี!
น้ำหนักและความถนัดมือ: จะได้ใช้งานง่าย ไม่เมื่อย
รีวิวจากผู้ใช้จริง: ดูว่าคนอื่นใช้แล้วเป็นยังไง กำจัดไรฝุ่นได้ดีไหม?
(ถ้าสนใจ) ฟังก์ชันแสง UV: ก็ดูเป็นออปชันเสริมได้ครับ
บทสรุป: แสง UV ในเครื่องดูดไรฝุ่น...มีดี แต่ไม่ใช่ "ไม้กายสิทธิ์"!

สรุปง่ายๆ นะครับเพื่อนๆ: แสง UV-C ในเครื่องดูดไรฝุ่น "มีประโยชน์จริง" ในการช่วยลดเชื้อโรคและไรฝุ่นบน "พื้นผิว" แต่เรา ไม่ควรคาดหวังว่ามันจะจัดการได้หมดจดทุกซอกทุกมุม หรือทะลุทะลวงลงไปในที่นอนหนาๆ ได้

Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy