พัดลม USB vs พัดลมแบตเตอรี่ในตัว แบบไหนเหมาะกับการพกขึ้นเครื่องบินมากกว่ากัน?

จากบทความก่อนหน้า เราได้รู้กันไปแล้วว่า

พัดลมพกพาขึ้นเครื่องบินได้ไหม?
และพัดลมพกพาแบบไหนเหมาะกับการเดินทางมากที่สุด

แต่พอถึงเวลาจะซื้อจริง หลายคนก็มักจะยืนงงหน้าร้าน (หรือหน้าจอมือถือ) พร้อมคำถามในใจว่า

เอาแบบไหนดีวะ พัดลม USB ที่ไม่ต้องมีแบตฯ หรือ พัดลมที่มีแบตเตอรี่ในตัว ดี?
วันนี้เรามา เทียบกันแบบชัด ๆ ให้เห็นทั้งข้อดีข้อจำกัด โดยโฟกัสเฉพาะมุม การพกขึ้นเครื่องบิน และ การใช้งานจริงระหว่างเดินทาง กันครับ

 

พัดลม USB (ไม่มีแบตเตอรี่ในตัว) คืออะไร?

พัดลม USB คือพัดลมที่ ไม่มีแบตเตอรี่ลิเธียมในตัว
ต้องต่อไฟจากอุปกรณ์ภายนอก เช่น

• Power Bank
  
• โน้ตบุ๊ก
  
• ช่อง USB ในสนามบิน

พูดง่าย ๆ คือ

ตัวพัดลมไม่ผิดกฎการบิน แต่คนใช้ต้องเตรียมไฟเอง

ข้อดีของพัดลม USB สำหรับการขึ้นเครื่องบิน

• ไม่เข้าข่ายข้อจำกัดแบตเตอรี่ลิเธียม
  
• ไม่ต้องคำนวณ Wh / mAh ให้ปวดหัว
  
• ผ่านด่านตรวจความปลอดภัยแบบชิล ๆ
  
• น้ำหนักเบามาก
  
• โอกาสโดนยึด = แทบเป็นศูนย์
  

สายบินบ่อยจะรู้เลยว่า

พัดลม USB คือ ของสายเซฟ ตัวจริง

️ ข้อจำกัดของพัดลม USB

• ต้องมี Power Bank (ซึ่งก็ยังต้องอยู่ภายใต้กฎแบตอยู่ดี)
  
• ใช้งานไม่สะดวกถ้าไม่มีแหล่งจ่ายไฟ
  
• บนเครื่องบินบางสายการบิน ไม่แนะนำให้ใช้อุปกรณ์ที่ต่อพาวเวอร์แบงก์ ระหว่างบิน
  พบได้บ่อยในรูปแบบ
  
   

พัดลมแบตเตอรี่ในตัว คืออะไร?

พัดลมพกพาที่มีแบตเตอรี่ลิเธียมฝังอยู่ในตัว
ชาร์จครั้งเดียว ใช้งานได้เลย ไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์อื่น

• พัดลมมือถือ
• พัดลมคล้องคอ
• พัดลมตั้งโต๊ะจิ๋ว

ข้อดีของพัดลมแบตฯ ในตัว

• ใช้งานง่าย แกะออกมาเปิดได้ทันที
• ไม่ต้องต่อสาย ไม่เกะกะ
• ใช้ตอนเดิน, ต่อคิว, รอเกท ได้สะดวก
• ให้ลมแรงกว่าพัดลม USB หลายรุ่น

️ ข้อจำกัดของพัดลมแบตฯ ในตัว (ที่ต้องรู้ก่อนขึ้นเครื่อง)

• ต้องพกขึ้นเครื่องเท่านั้น (ห้ามโหลดใต้เครื่อง)
  
• ต้องดูความจุแบตเตอรี่ (Wh) ให้ถูกต้อง
  
• รุ่นแบตใหญ่เกิน 100 Wh อาจต้องแจ้งสายการบิน
  
• รุ่นดัดแปลงแบต / สเปกไม่ชัด เสี่ยงโดนเรียกตรวจ

เทียบกันชัด ๆ: พัดลม USB vs พัดลมแบตเตอรี่ในตัว