แชร์

วิธีเลือกเครื่องดูดไรฝุ่นให้เหมาะกับบ้าน และตอบโจทย์อาการแพ้จริงๆ

อัพเดทล่าสุด: 12 ธ.ค. 2025

คุณรู้ไหมว่า ไรฝุ่น ไม่ได้อยู่แค่บนที่นอน แต่ยังแอบซ่อนอยู่ในโซฟา พรม ผ้าม่าน เบาะรถ และแม้กระทั่งตุ๊กตานุ่มๆ ที่เรากอดประจำ! เพราะงั้นการเลือก เครื่องดูดไรฝุ่น แบบถูกต้องตั้งแต่ต้น จะช่วยลดอาการแพ้ น้ำมูกไหล คัดจมูก และผื่นคันได้แบบเห็นผล โดยไม่ต้องง้อวิธีล้างปลอกหมอนทุกวันจนมือเปื่อย

 

หากคุณยังไม่เคยอ่านรายละเอียดเรื่อง ความต่างของเครื่องดูดไรฝุ่นและเครื่องดูดฝุ่น บทความก่อนหน้าจะช่วยให้เลือกเครื่องได้ง่ายขึ้นมาก

วันนี้เรามาเจาะลึกกันแบบ เลือกเป็นครั้งเดียว ถูกคุ้มไปหลายปี

 

1. เลือกเครื่องดูดไรฝุ่นจากระบบกรองอากาศ (Filter System) จุดสำคัญที่สุด!




หนึ่งในความเข้าใจผิดยอดฮิตคือ เครื่องดูดไรฝุ่นตัวไหนก็ดูดเหมือนกัน
ไม่จริงครับ!

สิ่งที่ทำให้เครื่องดูดไรฝุ่นแตกต่างกันแบบฟ้ากับเหว คือระบบกรองอากาศ



ระบบกรองที่ควรมองหา:

 

  • HEPA Filter ระดับ H13 หรือสูงกว่า
  • ดักจับฝุ่นขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอน รวมถึงสารก่อภูมิแพ้ได้จริง
  • ระบบกรองหลายชั้น (Multi-Layer Filtration)
  • เช่น แผ่นกรองฝุ่นหยาบ + ไมโครฟิลเตอร์ + HEPA ทำงานร่วมกัน
  • ถุงเก็บฝุ่นแบบปิดสนิท / กล่องเก็บฝุ่นดีไซน์ป้องกันฟุ้งกระจาย
  • เปิดฝาแล้วฝุ่นไม่กระจายกลับเข้าหน้าเรา

 


ทำไมเรื่องนี้จำเป็น?


เพราะเครื่องที่ไม่มีระบบกรองดีพอ
= ดูดเข้าไป 5 ส่วน ปล่อยกลับสู่อากาศ 23 ส่วน
ซึ่งเท่ากับบ้านยิ่งสกปรกกว่าเดิม

 

 

2. ใส่ใจพลังดูด (Suction Power) ไม่ใช่แค่แรง แต่ต้อง เหมาะกับพื้นผิว

 


ไม่ใช่ทุกพื้นที่ต้องใช้พลังดูดเท่ากัน ดังนั้นควรเลือกเครื่องดูดไรฝุ่นที่ ปรับแรงดูดได้หลายระดับ


ค่าที่ควรดู:

 

  • AW (AirWatt): บอกประสิทธิภาพการดูดพลังงานลม
  • kPa (แรงดูดแบบสูญญากาศ)
  • W (วัตต์): เป็นค่ากินไฟ ไม่ใช่ค่าความแรง แต่ใช้ประกอบได้

 


เลือกแรงดูดอย่างไรให้เหมาะ?

 

  • ที่นอน / โซฟา ใช้แรงดูดปานกลาง + หัวแปรงเฉพาะทาง
  • พรม ต้องแรงดูดสูง + หัวปั่นโรล (Motorized Brush)
  • ผ้าม่าน / ตุ๊กตา ใช้แรงดูดต่ำ ป้องกันผ้าเสียทรง

 

 

 

3. เลือกหัวดูดให้ถูกประเภท อุปกรณ์เสริมสำคัญยิ่งกว่าเครื่องหลัก


หัวดูดที่ดีทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 3050% โดยเฉพาะหากคุณตั้งใจจะกำจัดไรฝุ่นอย่างจริงจัง


หัวดูดที่ควรมองหา:

 

  • หัวดูดแบบปั่นความถี่สูง (High-Frequency Sonic Brush)
    ช่วยสั่นเตียง/โซฟาเพื่อเขย่าไรฝุ่นขึ้นมา ก่อนดูดออก
  • หัวดูดแบบปั่นมอเตอร์ (Motorized Head)
    เหมาะกับพรมและโซฟาผ้า
  • หัวดูดแบบแบนพิเศษ
    สำหรับซอกแคบ รอยต่อเตียง
  • หัวดูดผ้าม่าน / ชุดผ้าปู
    ที่ใช้แรงดูดเบาและออกแบบไม่ให้ผ้าย่น

 

 

4. ระบบฆ่าเชื้อ UV-C? จำเป็นไหม?

 


หลายคนชอบเครื่องดูดไรฝุ่นที่มี หลอด UV-C เพราะเห็นคำโฆษณาว่าฆ่าเชื้อ 99.9% แต่ต้องรู้ข้อเท็จจริงดังนี้

 

UV-C ดีจริง แต่ต้องเป็นรุ่นที่มีมาตรฐาน:

 

  • หลอดต้องมีความยาวคลื่น 253.7 nm

  • ต้องมีเซนเซอร์ป้องกันแสงรั่ว

  • แสงควรทำงานเฉพาะเมื่อหัวดูดแนบพื้น

  • UV ไม่ได้ ดูดไรฝุ่น แต่ช่วยทำให้ไรฝุ่นหยุดเคลื่อนไหวและตายง่ายขึ้น

 


สรุป: มีแล้วดี แต่ถ้าไม่มี ระบบแรงดูด + หัวสั่นความถี่สูงก็เอาอยู่

 

 

5. น้ำหนักและการออกแบบตัวเครื่อง ใช้จริงแล้วไม่เมื่อยมือ


บางรุ่นแรงก็จริง แต่หนักจนใช้งานนานๆ ไม่ไหว


เพราะงั้นควรเลือกแบบที่:

 

  • น้ำหนักเบา ไม่เกิน 1.21.5 กก.
  • จับถนัดมือ ไม่กินแรง
  • สายไฟยาว / ไร้สายแบตอึด 2040 นาที
  • ตัวเครื่องไม่ร้อนเกินไปเวลาใช้งานต่อเนื่อง

 

6. ฟีเจอร์พิเศษที่ช่วยประหยัดเวลาและทำงานง่ายขึ้น

 

  • ระบบแจ้งเตือนทำความสะอาดฟิลเตอร์
  • ถังฝุ่นเปิดเททิ้งง่ายไม่ฟุ้ง
  • ระดับเสียงต่ำ (Low Noise) ไม่เกิน 7075 dB
  • ปุ่มเดียวปรับโหมด


ฟีเจอร์พวกนี้ไม่ใช่ของแต่งเล่น แต่ช่วยให้คุณอยากหยิบมาใช้บ่อยขึ้น (และทำความสะอาดได้ดีขึ้น)

 

 

 


บทความที่เกี่ยวข้อง
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy