แชร์

อันตรายจากการใช้หูฟังขณะขับรถหรือข้ามถนน สิ่งที่ต้องระวัง

อัพเดทล่าสุด: 11 มิ.ย. 2025
56 ผู้เข้าชม

เสียบหูฟัง เปิดเพลงโปรด ตัดขาดจากโลกภายนอก...สบายใจดีใช่ไหมครับ?" ไม่ว่าจะเป็นตอนเดินข้ามถนน, นั่งรอรถเมล์, ปั่นจักรยาน, ขับมอเตอร์ไซค์ หรือแม้แต่นั่งอยู่ในรถยนต์ส่วนตัว การสร้างโลกส่วนตัวด้วยเสียงเพลงกลายเป็นเรื่องปกติของใครหลายคนไปแล้ว

แต่! ในฐานะ คนที่ใช้รถใช้ถนนในกรุงเทพฯ ทุกวัน และเห็นเหตุการณ์น่าหวาดเสียวมานับครั้งไม่ถ้วน ผมขอบอกเลยว่า ความสบายใจชั่วครู่นี้ อาจต้องแลกมาด้วย "วินาที" ที่ตัดสินชีวิต! บทความนี้ไม่ใช่การตำหนิ แต่คือการ "เตือนภัย" แบบเพื่อนถึงเพื่อน ด้วยข้อมูลที่ น่าเชื่อถือและอิงจากหลักความปลอดภัยสากล ว่าทำไมการใส่หูฟังบนท้องถนนถึงอันตรายกว่าที่คุณคิดเยอะมาก!

  1. "โลกที่เงียบงัน"...เมื่อ "เสียงเตือนภัย" หายไป!

    นี่คืออันตรายที่ชัดเจนที่สุดครับ! การที่เราใส่หูฟัง (โดยเฉพาะแบบ In-Ear ที่อุดหูสนิท หรือเปิดเพลงดังๆ) มันคือการ "ปิดหู" ของเราจากเสียงสำคัญที่อาจช่วยชีวิตเราได้:
  • เสียงแตรรถ: ทั้งจากรถยนต์ที่กำลังจะเบรกไม่ทัน หรือมอเตอร์ไซค์ที่กำลังจะแซงขึ้นมาในจุดอับสายตา
  • เสียงไซเรนฉุกเฉิน: เสียงรถพยาบาล, รถดับเพลิง, หรือรถตำรวจ ที่เราจำเป็นต้องหลีกทางให้
  • เสียงเครื่องยนต์ของรถที่กำลังมา: โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าหรือมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เสียงเงียบมาก การได้ยินเสียงคือสัญญาณเดียวที่บอกว่า "มีรถกำลังเข้ามาใกล้!"
  • เสียงคนตะโกนเตือน: "ระวัง!", "รถมา!"
  • เสียงรถไฟ: เสียงเตือนตามแนวแผงกั้นรถไฟ
  • เสียงผิดปกติของรถเราเอง: เช่น เสียงยางแบน, เสียงเครื่องยนต์แปลกๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาร้ายแรง

 ลองนึกภาพเรากำลังจะข้ามถนน แล้วมีมอเตอร์ไซค์เลี้ยวออกมาจากซอยโดยที่เรามองไม่เห็น...สิ่งเดียวที่จะช่วยเราได้ในเสี้ยววินาทีนั้น คือ "เสียง" ครับ ถ้าเราไม่ได้ยิน...อะไรจะเกิดขึ้น?

2. สมอง "มัวเมา" กับเสียงเพลง (อันตรายกว่าที่คิด!)

หลายคนอาจเถียงว่า "ฉันเปิดเพลงเบาๆ ได้ยินเสียงรอบข้างอยู่!" แต่ปัญหาที่ลึกกว่านั้นคือ "Inattentional Deafness" หรือ "ภาวะหูหนวกจากการไม่ใส่ใจ"

สมองเราไม่ได้ทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ดีขนาดนั้น!
เปรียบเทียบง่ายๆ ครับ: สมองเรามี "พนักงาน" อยู่จำกัด เมื่อเราสั่งให้พนักงานส่วนใหญ่ไป "ตั้งใจฟังเพลง" หรือ "โฟกัสกับ Podcast/เรื่องที่คุยในโทรศัพท์" พนักงานที่เหลือคอย "ดูทาง" กับ "ฟังเสียงเตือนภัย" ก็จะเหลือน้อยลง ทำงานไม่ทัน!

"ได้ยิน" แต่ "ไม่รับรู้": คุณอาจจะได้ยินเสียงแตรแว่วๆ เข้ามา แต่สมองที่กำลังประมวลผลเนื้อเพลงหรือเรื่องเล่าอยู่ จะ "ตอบสนองช้าลง" อย่างมีนัยสำคัญ กว่าจะรู้ตัวว่านั่นคือเสียงเตือนภัย ก็อาจจะสายเกินไปแล้ว
ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง: การต้องแบ่งสมาธิไปให้เสียงเพลง ทำให้การตัดสินใจเหยียบเบรก, หักหลบ, หรือหยุดเดิน ช้าลงไปเสี้ยววินาที ซึ่งบนท้องถนน...เสี้ยววินาทีนั้นตัดสินความเป็นความตายได้เลยครับ

3. แยกตาม "ประเภท" ความเสี่ยง (ใครเสี่ยงแค่ไหน?)

คนข้ามถนน / เดินเท้า: เสี่ยงสูงสุด! คุณคือเกราะที่เปราะบางที่สุดบนท้องถนน การไม่ได้ยินเสียงรถที่กำลังมา คือการเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยตรง

️ คนขับมอเตอร์ไซค์ / จักรยาน: อันตรายอย่างยิ่งยวด! คุณต้องใช้การได้ยินในการรับรู้สถานการณ์รอบตัว 360 องศา ทั้งเสียงรถข้างหน้า ข้างหลัง และด้านข้าง การปิดหูเท่ากับปิดหนึ่งในประสาทสัมผัสที่สำคัญที่สุดในการเอาตัวรอด

คนขับรถยนต์: ถึงจะดูปลอดภัยกว่า แต่ก็ยังอันตราย! คุณจะไม่ได้ยินเสียงไซเรนจากรถฉุกเฉินที่อาจจะมาทางด้านหลังหรือด้านข้าง, ไม่ได้ยินเสียงแตรจากรถในจุดบอด, หรือไม่ได้ยินเสียงยางระเบิดของรถตัวเอง

4. "ผิดกฎหมายไหม?" แล้ว "ประกัน" ว่ายังไง?

ตามกฎหมายไทย: แม้จะยัง ไม่มีกฎหมายระบุชัดเจนว่า "ห้ามใส่หูฟังฟังเพลง" ขณะขับรถ (ต่างจากการ "ใช้โทรศัพท์มือถือ" ที่ผิดชัดเจน)

แต่! (สำคัญมาก): หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น การที่คุณใส่หูฟังอยู่ อาจถูกพิจารณาว่าเป็น "การขับขี่โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว" ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ได้ ซึ่งจะทำให้คุณกลายเป็นฝ่ายผิดหรือมีความผิดร่วมได้ทันที!
ประกันภัย: บริษัทประกันสามารถใช้ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณ "ใส่หูฟัง" เป็นเหตุผลในการโต้แย้งว่าคุณมีส่วนประมาท ซึ่งอาจส่งผลต่อการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้

แล้วถ้า "จำเป็น" จริงๆ ล่ะ? (ทางออกและทางเลี่ยงที่ปลอดภัย "กว่า")

  • ถ้าจำเป็นต้องรับฟังเสียงจริงๆ ลองพิจารณาทางเลือกที่ "เสี่ยงน้อยกว่า" เหล่านี้ครับ:

    ในรถยนต์:
    ดีที่สุด: เปิดลำโพงรถยนต์ ในระดับเสียงที่พอดี ไม่ดังจนเกินไป
    คุยโทรศัพท์: ใช้ ระบบ Bluetooth Hands-free ของรถยนต์

สำหรับคนเดินเท้า / ขับขี่:
ถ้าต้องรับสายด่วนจริงๆ: "หยุด" ในที่ที่ปลอดภัยข้างทางก่อน แล้วค่อยคุย
ใส่หูฟังแค่ "ข้างเดียว": เป็นวิธี "ลดความเสี่ยง" (แต่ไม่ใช่ปลอดภัย 100%) เพื่อให้หูอีกข้างยังคงได้ยินเสียงรอบข้างได้ (แต่ก็ยังไม่แนะนำอยู่ดี)
หูฟังแบบ Bone Conduction (นำเสียงผ่านกระดูก): เป็นเทคโนโลยีที่ "ปลอดภัยกว่า" เพราะมันไม่ได้อุดรูหู ทำให้เรายังได้ยินเสียงภายนอกได้ชัดเจน แต่ก็ต้องระวังว่าถ้าเปิดดังไป ก็ยังรบกวนสมาธิอยู่ดี
โหมด Transparency/Ambient: หูฟังรุ่นใหม่ๆ มีโหมดดูดเสียงภายนอกเข้ามาให้ได้ยิน แต่ อย่าไว้ใจ 100% มันไม่เหมือนการได้ยินด้วยหูเปล่าๆ และอาจจะมีเสียงลมหรือเสียงรบกวนอื่นๆ ทำให้แยกแยะเสียงอันตรายได้ยากขึ้น

บทสรุป: แค่ "ถอด" ไม่กี่วินาที...เพื่อ "ชีวิต" ที่ยืนยาว

การฟังเพลงด้วยหูฟังเป็นความสุขส่วนตัวที่ยอดเยี่ยม แต่ "ท้องถนนไม่ใช่ห้องนั่งเล่น" มันเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ต้องการสมาธิและการรับรู้รอบตัวสูงสุด

อันตรายหลักๆ ของการใส่หูฟังบนท้องถนนไม่ใช่แค่เรื่อง "ไม่ได้ยินเสียงเตือนภัย" แต่คือการที่ "สมองของเราตอบสนองช้าลง"  ซึ่งอันตรายอย่างยิ่ง

ดังนั้น...ก่อนจะก้าวขาลงจากฟุตบาท, ก่อนจะข้ามถนน, ก่อนจะสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ หรือแม้แต่ก่อนจะเข้าเกียร์รถยนต์...

แค่ "ถอดหูฟังออก" หรือ "หยุดเพลงชั่วคราว"

ให้ "หู" ของคุณได้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องชีวิตของคุณเองและผู้อื่นนะครับ  ความสุขจากเพลงๆ หนึ่ง รอเราแค่ไม่กี่นาที แต่ชีวิตที่ปลอดภัยมีค่ากว่านั้นเยอะครับ!


บทความที่เกี่ยวข้อง
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy